รีแบรนด์อย่างไรไม่ให้กระทบการตลาด SEO ของเว็บไซต์แบรนด์

Marketing
SEO
ธันวาคม 23, 2024
Written for you by
Saranya N., SEO Expert
Businessman moving into a new office
Businessman moving into a new office

สารบัญ

หลายแบรนด์กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตั้งแต่ยุคโควิดเป็นต้นมา ซึ่งมีสถิติการรีแบรนด์ที่สูงมากถึง 51% ในช่วงปี 2022 จากผลสำรวจธุรกิจในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา และจากสถิติของ Bynder พบว่า การรีแบรนด์แต่ละครั้งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 7 เดือน! และนักการตลาดกว่า 82% เคยผ่านการทำงานด้านการรีแบรนด์มาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย หรือขยายไลน์ธุรกิจ การ Rebranding จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

จำเห็นได้ว่าการรีแบรนด์ไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวสำหรับเจ้าของแบรนด์เลย แต่การเปลี่ยนภาพลักษณ์บริษัทย่อมมาพร้อมกับความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือ การรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ให้ได้ โดยเฉพาะลูกค้าที่เคยหาเราเจอผ่าน Google ด้วยการทำ SEO จนติดอันดับ ซึ่งถ้าทำไม่ดี การรีแบรนด์อาจทำให้อันดับการค้นหาของเราหายไปเลยก็ได้!

ทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไม SEO ถึงได้รับผลกระทบจากการรีแบรนด์?

ลองนึกภาพว่าคุณมีร้านอาหารที่เปิดมา 10 ปี อยู่ ๆ วันนึงย้ายร้านไปอีกที่นึง เปลี่ยนชื่อร้านใหม่ แต่ไม่ได้บอกใคร… คุณว่าลูกค้าประจำที่เคยมาทุกอาทิตย์จะรู้ไหมว่าร้านย้ายไปไหน? ก็อาจจะรู้แค่บางส่วนค่ะ ในกรณีนี้เว็บไซต์ก็เช่นกัน! เวลาเราเปลี่ยนโดเมนใหม่ (เช่น จาก oldbrand.com เป็น newbrand.com) Google จะมองว่านี่เป็น “เว็บใหม่” ทันที ไม่ต่างจากร้านที่เพิ่งเปิด ความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมาหลายปีก็อาจหายวับไปกับตา

Confused senior lady examining document in bank office

ถ้าไม่วางแผนให้ดี ยอดขายออนไลน์อาจหายไปถึง 70-80% เลยทีเดียว! วันนี้แคร์ดิจิตัลเลยอยากมาแนะนำขั้นตอนในการย้ายเว็บไซต์ให้คนเข้าเว็บไม่หายกัน

หากคุณยังไม่เข้าใจหลักการของ SEO เราแนะนำให้คุณลองศึกษาคร่าว ๆ เกี่ยวกับบทความการทำ SEO ของเราก่อน หรือดาวน์โหลดคู่มือการทำ SEO ของเราได้ ที่นี่

7 ขั้นตอนการรีแบรนด์โดยไม่กระทบ SEO

1. สำรองข้อมูลเว็บไซต์ให้ครบถ้วนก่อน – ขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม

“ไม่เป็นไรหรอก โฮสติ้งเขาก็แบ็คอัพให้อยู่แล้ว…” นี่คือประโยคอันตรายที่สุดที่เราได้ยินบ่อย ๆ

ถูกแค่ครึ่งเดียวค่ะ แต่ยังไงปลอดภัยไว้ดีกว่ามาแก้ทีหลัง เพื่อลด Downtime หรือเวลาที่เว็บไซต์ไม่สามารถออนไลน์ได้ให้น้อยลงที่สุด

 สิ่งแบ็คอัพข้อมูลสำหรับเว็บไซต์

  • ไฟล์เว็บไซต์ทั้งหมด
  • ฐานข้อมูล MySQL
  • รูปภาพและไฟล์มีเดียต่างๆ
  • การตั้งค่า SEO ทั้งหมด
  • ข้อมูลการวิเคราะห์จาก Google Analytics (เผื่อไว้อ้างอิง Data ในภายหลัง)

ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าได้สำรองข้อมูลครบถ้วนแล้วทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านนั่นเอง

2. วิธีสำรองข้อมูลเว็บไซต์ที่แนะนำ

  1. สำหรับเว็บ WordPress
    • All-in-One WP Migration
    • UpdraftPlus
    • WPVivid
    • Export ข้อมูล SEO จากปลั๊กอิน SEO ต่าง ๆ
    • Export ข้อมูลจำพวก Custom Post Type หรือ ฟังค์ชั่นเฉพาะของเว็บไซต์คุณ
  2. สำหรับเว็บทั่วไป
    • ใช้ฟังค์ชั่นสำรองข้อมูลของ Server Management Panel พวก cPanel, DirectAdmin หรือ Plesk
    • หรือจะสำรองข้อมูลผ่าน sFTP ก็ได้
    • สำรองข้อมูล Database เช่น เข้าไปดาวน์โหลดจาก phpMyAdmin ในกรณีที่เป็น PHP

อย่าลืมสำรองข้อมูลด้วยวิธีการที่รัดกุมด้วยนะคะ อย่างที่แคร์ดิจิตัลเราก็ใช้วิธีการสำรองแบบ 3-2-1 Method เป็นอย่างน้อย

3. สร้าง Staging ก่อนอัพโหลดเว็บไซต์จริง

เวลาที่มืออาชีพย้ายเว็บไซต์ สิ่งที่ต้องทำเลยคือ การทดลองอัพโหลดหรือย้ายในเว็บไซต์จำลองก่อน หรือเรียกว่า Staging Site

จริง ๆ มันก็เหมือนเว็บไซต์จริงทุกอย่างค่ะ แค่เรายังไม่ได้อัพโหลดขึ้นมาในโดเมนจริงที่ลูกค้าเข้ามาดูได้ ฉะนั้น เราจึงทดสอบได้เต็มที่ เว็บพังขึ้นมาลูกค้าก็ยังไม่เห็นนั่นเอง

เหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนี้? ขอยกตัวอย่าง ถ้าคุณมีเว็บขายของออนไลน์ แล้วถ้ายอดขาย 1 แสนบาทต่อวัน การที่เว็บไซต์ล่มไป 2 ชั่วโมงอาจเสียรายรับเฉลี่ยที่ประมาณ 10,000 บาทเลยทีเดียว (ไม่นับว่าเป็นช่วงพีคนะคะ)

วิธีการสร้าง Staging Site ไม่ยาก

  1. สร้าง Subdomain สำหรับทดสอบ (เช่น yourdomain.com)
  2. ติดตั้งสำเนาของเว็บไซต์จริง
  3. ทดสอบการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่นี่ก่อน

แล้วทำการทดสอบเว็บไซต์บน Staging Site ตามรายการนี้

  • การทำงานของธีมใหม่
  • ปลั๊กอินทั้งหมด
  • ฟอร์มติดต่อ
  • ระบบชำระเงิน
  • การแสดงผลบนมือถือ
  • ความเร็วเว็บไซต์

4. วางแผน URL Structure ใหม่อย่างเป็นระบบ

การวางแผน URL ใหม่ก็เหมือนการวาดแผนที่บ้านใหม่ค่ะ ต้องรู้ว่าห้องไหนอยู่ตรงไหน ทางเข้าออกอยู่ที่ใด เวลาใครมาอ่านผังบ้านของคุณก็เข้าใจง่าย โดยเฉพาะ Google

ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบนี้ค่ะ คลินิกเสริมความงาม thai-super-beauty(.com) จะรีแบรนด์เป็นคลินิก thaiproud(.com) แต่มีบทความในเว็บมากกว่า 1,200 บทความ วิธีที่ต้องทำคือ

  1. จัดทำ URL Mapping อย่างละเอียด
    • เดิม: thai-super-beauty(.com)/reviews/product-a → ใหม่: thai-proud(.com)/beauty-reviews/product-aเดิม: thai-super-beauty(.com)/how-to → ใหม่: thai-proud(.com)/beauty-tipsเดิม: thai-super-beauty(.com)/about → ใหม่: thai-proud(.com)/our-story
  2. แบ่งประเภท URL ตามความสำคัญ และจัดระเบียบโครงสร้างใหม่
    • หน้าหลักที่ต้องคงอยู่ 100%
    • หน้าที่มีคนเข้าชมสูง
    • หน้าที่มี Backlinks เยอะ
    • หน้าที่อาจยุบรวมกัน
    • หน้าที่จะยกเลิก

ขั้นตอนนี้ ใช้ Excel หรือ Google Sheets ทำตารางเปรียบเทียบ แล้วแชร์กับทีมงานทุกคนจะทำให้การทำงานง่ายขึ้นค่ะ

5. จัดการ Internal Links อย่างมืออาชีพ

Internal Links คือเส้นเลือดของเว็บไซต์ค่ะ ถ้าเลือดไม่ไหลเวียน (ลิงก์เสีย) เว็บก็จะไม่โต การที่มีการส่งต่อลิ้งก์ภายในจากหน้าที่มีคนเข้าชมสูงไปหน้าต่าง ๆ ก็จะทำให้สุขภาพเว็บไซต์แข็งแรงและอันดับ SEO สูงขึ้นด้วยค่ะ วิธีจัดการ Internal Links ที่มีประสิทธิภาพได้แก่

  1. ใช้เครื่องมือสแกนลิงก์ก่อนเลยอันดับแรก
    • Screaming Frog เป็นเครื่องมือแบบออฟไลน์ที่นิยมใช้กันมาก เหมาะสำหรับเว็บขนาดเล็ก-กลาง ส่วนเว็บไซต์ใหญ่ก็สแกนได้ค่ะ แต่คอมกับอินเทอร์เน็ตต้องแรงหน่อย
    • Sitebulb เป็นเครื่องมือบน Cloud ที่นิยมมากในต่างประเทศ
    • Ahrefs Site Audit (มีค่าใช้จ่าย แต่ละเอียดมาก)
  2. นำลิงก์ที่ได้มาจัดลำดับความสำคัญ (ลิงก์ในเมนูหลัก, ลิงก์ในส่วน Footer, ลิงก์ในบทความยอดนิยม หรือลิงก์ในบทความทั่วไป)
  3. จัดการแก้ไขลิงก์ด้วยวิธีต่าง ๆ ตามจุดประสงค์
    • ใช้ Search & Replace เพื่อแทนที่ลิงก์เดิมด้วยลิงก์ใหม่ (ใช้โปรแกรมฐานข้อมูลทำได้ หรือแม้แต่ Excel ก็มีฟังค์ชั่นนี้)
    • ใช้ปลั๊กอิน Better Search Replace สำหรับ WordPress
    • แก้ด้วยน้ำมือของคุณเองสำหรับลิงก์สำคัญ ช้าแต่ชัวร์ (ไม่แนะนำให้ทำทั้งเว็บ เพราะจะใช้เวลานานมาก)

6. ติดตามผลอย่างใกล้ชิด

หลังจาก Launch แล้ว 30 วันแรกสำคัญมาก! ต้องติดตามตัวชี้วัดต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยดูไล่ตามนี้

Traffic (Google Analytics)

  • จำนวนผู้เข้าชมรายวัน
  • Bounce Rate
  • เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์

การจัดอันดับ SEO (Search Console)

  • อันดับการค้นหาคำสำคัญ
  • จำนวนหน้าที่ถูก Index
  • CTR จากผลการค้นหา

ปัญหาทางเทคนิค

  • หน้า 404 (หรือ Error code 4xx และ 5xx ต่าง ๆ)
  • Redirect Loops
  • Server Response Time
  • Mobile Experience
  • Google Lighthouse performance

การทำ A/B Testing

  • ทดสอบ Meta Title ใหม่
  • ทดสอบ Description ใหม่
  • เปรียบเทียบ Conversion Rate

7. จัดการ Backlinks อย่างชาญฉลาด

Backlinks คือการที่เว็บอื่นลิงก์กลับมายังเว็บเรา เปรียบเหมือนผลโหวตว่าเว็บไซต์เราคือเว็บที่ได้ Popular Vote จากทุกคนค่ะ Google ก็จะมองว่าเว็บเรานี่มันฮ็อตมาก ๆ น่าเอาขึ้นอันดับสูง ๆ นั่นเอง (แต่ Backlink เป็นเพียงแค่หนึ่งปัจจัยในการแสดงผลนะ โฟกัสด้านอื่นด้วย) ถ้าเปลี่ยนโดเมนแล้วไม่จัดการดี ๆ ก็เหมือนขอสละมง(กุฎ) ไม่รับตำแหน่งนั่นเอง

วิธีจัดการ Backlinks ที่ดีคือ อย่างแรกคุณต้องรวบรวมข้อมูล Backlinks ของเว็บปัจจุบันด้วยเครื่องมือต่าง ๆ อย่าง Google Search Console, Ahrefs หรือ Majestic และนำมาประเมินว่ามีหน้าไหนถูกลิงก์กลับมาบ้าง เช่นหน้าที่มี Domain Authority สูง, หน้าที่คนเข้าเยอะ หรือ ลิงก์มาจากเว็บที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา (เป็นลิงก์ที่ดี)

 

ROI ของการรีแบรนด์: คุ้มค่าหรือไม่ ในแง่ของการทำ SEO

ช่วงที่ผ่านมา เราได้เห็นหลายแบรนด์ทยอยปรับโฉมตัวเองกันอย่างต่อเนื่อง บางรายลงทุนหลักแสน บางรายทุ่มหลักล้าน แต่คำถามที่เราได้ยินบ่อยที่สุดคือ “คุ้มไหม?”

หนึ่งในสิ่งที่จะตอบได้ดีที่สุดคือเรื่องของ Brand Equity ในฐานะเจ้าของแบรนด์ คุณให้ความสำคัญกับแบรนด์มากแค่ไหน คุณค่าของแบรนด์คุณหลังจากรีแบรนด์เป็นอย่างไร ตรงกับทิศทางที่รองรับอนาคตหรือไม่ และการเปลี่ยนแบรนด์เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีและทันสมัยขึ้นจะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายของคุณจริงไหม

ถ้าการรีแบรนด์ทำให้ภาพลักษณ์ดูทันสมัยขึ้น คนสนใจเว็บไซต์มากขึ้น เท่ากับว่าการค้นหาหรือการเสิร์ชบน Google ก็มากขึ้นด้วย ซึ่งหากคุณวางแผนการตลาดมาอย่างดี และทำคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับทิศทางของบริษัทหลังจากการรีแบรนด์ ย่อมทำให้คุณมีคอนเทนต์รองรับความต้องการของลูกค้านั่นเอง

Discussing new looks

หากคำตอบคือ “คุ้มค่า” ค่อยเริ่มมาวางแผนการย้ายจากชื่อเดิมมาชื่อใหม่ ซึ่งการตลาดที่กระทบอันดับต้น ๆ คือ SEO เพราะต้องทำการรื้อโครงสร้างและปรับปรุงตามแบรนด์ที่เปลี่ยนไป แต่ไม่ว่าจะมีแผนดีแค่ไหน  Traffic ยังไงก็จะตกลงไปช่วงแรก ๆ แน่นอน แต่ไม่ต้องกังวลมากนะคะ เพราะความเสี่ยงจะถูกจำกัดให้อยู่แค่เล็กน้อยทำให้การรีแบรนด์ของคุณคุ้มค่าอย่างแน่นอน

สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ การรีแบรนด์ไม่ใช่แค่เรื่องของการเปลี่ยนโลโก้หรือเว็บไซต์ แต่เป็นโอกาสในการยกระดับธุรกิจ เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ แน่นอนว่ามันมีความเสี่ยง แต่ถ้าวางแผนดี ผลลัพธ์ที่ได้อาจคุ้มค่ากว่าที่คิด

การวางแผนและการทำงานเป็นทีม นำไปสู่การทำ SEO หลังรีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ

Happy creative marketing team working on new business project in the office.

การ Rebranding เป็นโอกาสดีในการปรับปรุงภาพลักษณ์ธุรกิจ แต่ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อรักษา SEO ที่สร้างมา จากประสบการณ์ของเรา จากที่ได้เขียนไปในบทความนี้ เราสามารถสรุปได้ว่าการรีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จต้องมีขั้นตอนต่อไปนี้

  1. การวางแผนที่ดี
  2. ทีมงานที่พร้อม
  3. การสื่อสารที่ชัดเจน
  4. การติดตามผลอย่างใกล้ชิด

ลองดูเคสกรณีศึกษาเรื่องการรีแบรนด์และผลกระทบต่อการทำ SEO ของ Guild ที่เราได้เขียนก่อนหน้านี้ดูค่ะ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์ของคุณอย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้ ถ้าคุณกำลังวางแผนรีแบรนด์ อย่าลืมว่าไม่จำเป็นต้องทำคนเดียว! การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยประหยัดเวลาและลดความเสี่ยงได้มาก แวะมาคุยกันได้เลยนะคะ!

แชร์คอนเทนต์ให้ทุกคนได้อ่าน

โพสต์อื่นที่น่าสนใจ