เหตุการณ์ Cloudflare ล่มครั้งล่าสุดสร้างแรงสะเทือนครั้งใหญ่ไปทั่วโลก นอกจากผลกระทบกับเว็บไซต์แล้ว แพลตฟอร์มระดับยักษ์อย่าง X, ChatGPT, Shopify และอีกนับร้อยบริการที่ต้องหยุดชะงักพร้อมกัน ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจก่อนว่า Cloudflare คืออะไร ทำไมเว็บไซต์ทั่วโลกถึงล่มและคุณยังคงเชื่อมั่นใน Cloudflare ได้เหมือนเดิมไหม
รู้จัก Cloudflare อย่างคร่าว ๆ
Cloundflare คือ แพลตฟอร์มและให้บริการคลาวด์ ที่เป็นสื่อกลางเชื่อมระหว่าง ผู้เข้าชมเว็บไซต์และ Server ต้นทาง ซึ่งมีจุดเด่นด้วยกัน 3 ข้อคือ
1. ช่วยให้เว็บไซต์โหลดได้ไว
Cloudflare มีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์อยู่ทั่วโลก และมีฟังค์ชั่นในการช่วยลดภาระเซิฟเวอร์ในการใช้งานเว็บไซต์ เช่น Load Balancing, Speed Optimization protocol ต่าง ๆ รวมไปถึง Edge Network Caching
2. ความปลอดภัย
มีการป้องกันเว็บไซต์จากการโจมตีประเภทต่าง ๆ สามารถจัดการกับบอท (Bot) ที่เป็นอันตรายและสามารถรับมือ DDoS Attack ได้ดี
3. ยืนหนึ่งเรื่อง Edge Network
Cloudflare ให้บริการ Edge Network ด้วย Feature ต่าง ๆ ที่รวมไปถึงการรันแอปนอกเซิฟเวอร์หลัก อย่าง Clouflare Worker, การเชื่อมต่อด้วย multifactorial authentication และบริการอย่าง Cloudflare WARP และ Cloudflare Zero Trust
เกิดอะไรขึ้นกับ Cloudflare?
สำหรับฟีเจอร์ที่เป็นต้นเหตุทำให้ Cloudflare ล่มนั่นเกิดจากฟีเจอร์ด้าน Bot Management ที่ Cloudflare ทำหน้าที่เป็นยามหน้าบ้านคอยตรวจเช็คทุกคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ ว่าเป็นผู้ใช้งานจริงหรือเป็น Bot ที่อาจเป็นอันตรายนั่นเอง
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 18:28 น. ทีม Cloudflare ได้อัปเดตระบบ Database เพื่อปรับปรุงความปลอดภัย แต่ไฟล์ที่ใช้จัดการ Bot กลับมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า
ปัญหาอยู่ที่ Software ที่อ่านไฟล์นี้มีการจำกัดขนาดเอาไว้ พอไฟล์ใหญ่เกิน ระบบจึงค้างและหยุดการทำงานทันทีทำให้เว็บไซต์ที่ใช้ Cloudflare (รวมถึงเว็บไซต์ของคุณ) แสดงผลเป็น Error 500 ชั่วคราว
ย้ำอีกครั้งว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่การถูกแฮก ไม่ใช่ DDoS Attack และไม่มีข้อมูลใดสูญหาย Server ทุกอย่างยังคงปลอดภัยเหมือนเดิมครับ
ใครบ้างได้รับผลกระทบ
เหตุการณ์นี้ส่งผลเป็นวงกว้างเพราะ Cloudflare รับ Traffic กว่า 20% ของอินเทอร์เน็ตทั่วโลก
บริษัทระดับโลกที่ล่มพร้อมกัน ได้แก่
- X (Twitter) ของ Elon Musk
- ChatGPT จาก OpenAI
- Claude จาก Anthropic
- Shopify
- Canva
- NJ Transit
- Truth Social
- Crypto Exchange ต่างๆ เช่น BitMEX
- และอีกจำนวนมาก
ดังนั้นหากคุณพบว่าเว็บไซต์ของตัวเองล่มไปช่วงหนึ่ง ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะนี่เป็นเหตุขัดข้องระดับโลกที่ส่งผลกระทบทุกคน
Timeline เหตุการณ์แบบเข้าใจง่าย
- 18:28 น. เริ่มเกิดปัญหา
- 20:05 น. Cloudflare พบสาเหตุและเริ่มแก้ไข
- 21:24 น. ยกเลิกไฟล์เวอร์ชันที่มีปัญหา และใช้เวอร์ชันเดิมแทน
- 21:30 น. Traffic เริ่มกลับมาปกติ
- 00:06 น. ระบบฟื้นกลับมา 100%
จากเหตุการณ์นี้ทำไมหลายแบรนด์ยังคงใช้บริการ Cloudflare ต่อ
สิ่งที่น่าชื่นชมคือ ความโปร่งใสในการสื่อสารของ Cloudflare เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์เกิดขึ้น พวกเขาเผยแพร่รายงาน Post-Mortem แบบละเอียดมาก อธิบายสาเหตุ ขั้นตอนการแก้ไขและแนวทางป้องกัน ถึงขั้นนำโค้ดที่เป็นต้นเหตุมาแสดงให้ดู
CEO ของ Cloudflare ก็ออกมาขอโทษสาธารณะทันที และยอมรับว่านี่คือเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่ปี 2019
นี่คือมาตรฐานที่ดีมาก เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นที่มักแจ้งสั้นๆ ว่า ระบบมีปัญหา กำลังดำเนินการแก้ไขโดยไม่บอกอะไรเพิ่มเติมเลย
ถ้าต้องการอ่านรายงานทางเทคนิคฉบับเต็ม สามารถดูได้ที่ Cloudflare Blog
มุมมองเรื่อง Uptime และความเป็นจริงในวงการ Tech
ปี 2025 ถือเป็นปีที่ Cloudflare มีเหตุการณ์ใหญ่หลายครั้ง ทั้ง R2 Outage ช่วงต้นปี และ Dashboard ล่มในเดือนกันยายน
แต่ในภาพรวม ความจริงคือ ไม่มีระบบไหน Uptime 100% ตลอดเวลาได้
AWS เพิ่งล่มครั้งใหญ่ไม่กี่สัปดาห์ก่อน และ Azure ก็มีเหตุการณ์เช่นกัน
สิ่งที่สำคัญกว่าการล่มคือ วิธีที่องค์กรจัดการกับปัญหาต่าง ๆ หลังเกิดเหตุ
ถ้าคิดแบบตัวเลขจากการคำนวณ Uptime ในปี 2025 ถึงวันที่ 18 พ.ย. ระยะเวลาล่มทั้งหมด 8 ชั่วโมง จาก 7,728 ชั่วโมงทั้งปี เท่ากับ Uptime ประมาณ 99.90% ซึ่งถือว่ายังดีมากสำหรับระบบระดับโลก
เราเคยมีเขียนกรณีที่คล้ายกันตอนที่ Bricks Builder โดนโจมตีช่องโหว่และเกิดความเสียหายในวงกว้างซึ่งทางทีมก็ออกมาจัดการได้อย่างรวมเร็วและเป็นกรณีศึกษาที่น่าชื่นชมครับ
ทำไมเรายังเลือกใช้ Cloudflare?
ความปลอดภัยระดับสากลที่คุณวางใจได้
Cloudflare เป็นผู้ให้บริการป้องกัน DDoS ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ล่าสุดเพิ่งบล็อกการโจมตีระดับ 7.3 Tbps ซึ่ง Server ทั่วไปไม่สามารถรับมือได้เลย
Performance ที่ส่งผลดีกับเว็บของคุณ
ด้วย CDN กว่า 330 เมืองทั่วโลก เว็บไซต์จึงโหลดเร็วขึ้นทันตา ส่งผลดีกับ UX และ SEO โดยตรง
มีความโปร่งใสและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดมาพัฒนาต่อ
ทุกเหตุการณ์ Cloudflare จะออก Post-Mortem ชัดเจนและพัฒนาระบบต่อเนื่อง พวกเขาไม่ได้แค่แก้ไข แต่ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
หากเทียบกับทางเลือกอย่าง AWS CloudFront หรือ Akamai ซึ่งทำงานได้ดีไม่แพ้กัน แต่ค่าใช้จ่ายสูงกว่าและอาจจะต้องลองดูประวัติการรับมือกับเหตุการณ์แบบนี้เทียบกันอีกทีก่อนตัดสินใจ
มาตรการที่เราดำเนินการสำหรับลูกค้าปัจจุบันของเรา
จากเหตุการณ์ Cloudflare ล่มที่ผ่านมา ทีม Care Digital มีมาตรการเพิ่มขึ้นเพื่อให้ลูกค้าทุกท่านมั่นใจได้ว่าเว็บไซต์ยังทำงานได้อย่างราบรื่น โดยสิ่งที่เราทำมีดังนี้ครับ
- ตรวจสอบการทำงานของเว็บไซต์ทุกส่วน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีฟังก์ชันใดได้รับผลกระทบ
- เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอด 24–48 ชั่วโมง เพื่อให้พร้อมแก้ไขทันทีหากมีความผิดปกติ
- ติดตามอัปเดตจาก Cloudflare อย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับมาตรการป้องกันและการพัฒนาในอนาคตเพื่อเตรียมวางแผนให้ลูกค้าได้ดีที่สุด
บทเรียนที่ได้หลังจากโลกเรากลับมาออนไลน์อีกครั้ง
เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงในโลกดิจิทัล
สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ปัญหาเกิดขึ้นหรือไม่ แต่คือ ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการพัฒนาต่อเนื่อง
Cloudflare แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ และนั่นคือเหตุผลที่บริษัทระดับโลกยังคงไว้วางใจพวกเขา
หากคุณมีคำถามหรือข้อกังวลใด ๆ เพิ่มเติม สามารถติดต่อเราได้เสมอ เรายินดีให้คำตอบครับ
ขอบคุณที่ไว้วางใจให้เราดูแลเว็บไซต์ของคุณ





