ความลับ SEO ในอัลกอริทึม Google จากเอกสารหลุด!

News
SEO
มิถุนายน 30, 2024
Written for you by
Saranya N., SEO Expert
Selective focus of magnifying glass on a paper sheet of binary code.

สารบัญ

เป็นข่าวใหญ่โตพอสมควรเลยค่ะ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดเหตุการณ์อินเทอร์เน็ตแทบแตกในวงการ SEO นั่นคือการเจอเอกสารภายในของ Google ที่เผยให้เห็นถึงรายละเอียดของระบบการจัดอันดับและการทำงานของอัลกอริทึมต่าง ๆ ซึ่งปกติแล้ว Google พยายามปกปิดเป็นความลับมาโดยตลอด (ก็ธุรกิจเขานี่เนอะ)

ข้อมูลที่หลุดออกมานี้ได้เปิดเผยความจริงหลายอย่างที่ Google เคยปฏิเสธมาตลอด และยังทำให้เราได้เห็นภาพรวมของระบบการทำงานภายในของ Google Search อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจที่ต้องการทำการตลาดอย่าง SEO ที่พยายามทำความเข้าใจและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการทำงานของ Google มาโดยตลอด

วันนี้เราจะมาวิเคราะห์และสรุปประเด็นสำคัญจากข้อมูลที่หลุดออกมา พร้อมทั้งให้คำแนะนำว่าเราควรปรับกลยุทธ์ SEO อย่างไรจากข้อมูลใหม่เหล่านี้ เตรียมตัวให้พร้อมนะคะ เพราะสิ่งที่กำลังจะได้รู้อาจทำให้คุณต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ Google และ SEO ไปเลยก็ได้! ส่วนคนที่เซียนอยู่แล้วก็น่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ เพราะบางส่วนไม่ผิดจากที่คาดเท่าไหร่

เราเชื่ออะไร Google ได้บ้าง? เทียบคำต่อคำสิ่งที่ Google เคยบอกเกี่ยวกับ SEO

ก่อนอื่น เรามาดูกันว่า Google เคยบอกอะไรกับเราบ้างที่ขัดแย้งกับข้อมูลที่หลุดออกมา

Shocked schoolboy covering mouth

1. “เราไม่มีสิ่งที่เรียกว่า Domain Authority”

Gary Illyes จาก Google เคยยืนยันหลายครั้งว่า Google ไม่ได้ใช้ค่าอำนาจโดเมน (Domain Authority) ในการจัดอันดับ แต่ความจริงแล้ว ในเอกสารที่หลุดออกมาระบุว่า Google มีการคำนวณค่า “siteAuthority” สำหรับแต่ละเว็บไซต์

นี่แสดงให้เห็นว่า Google มีการวัดค่าความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์โดยรวมจริง ๆ แม้จะไม่ได้เรียกว่า Domain Authority ก็ตาม

Official denied overall domain authority usage in SERP ranking.

2. “เราไม่ได้ใช้ Click สำหรับการจัดอันดับ”

Google พยายามปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้ใช้ข้อมูลการคลิกในการจัดอันดับ แต่ข้อมูลที่หลุดออกมาเผยว่า Google มีระบบที่เรียกว่า NavBoost ซึ่งใช้ข้อมูลการคลิกและพฤติกรรมของผู้ใช้ในการปรับอันดับผลการค้นหา

ระบบนี้เก็บข้อมูลต่าง ๆ เช่น จำนวนคลิกที่ดี คลิกที่ไม่ดี คลิกที่เข้ามาแล้วอยู่นานที่สุด และอื่น ๆ เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณคะแนน ซึ่งขัดแย้งกับที่ Google เคยบอกไว้โดยสิ้นเชิง

3. “ไม่มี Sandbox สำหรับเว็บไซต์ใหม่”

John Mueller จาก Google เคยปฏิเสธว่าไม่มีระบบ Sandbox ที่จำกัดการจัดอันดับของเว็บไซต์ใหม่ แต่ในเอกสารที่หลุดออกมามีการกล่าวถึงคุณสมบัติ “hostAge” ที่ใช้เพื่อ “sandbox fresh spam in serving time”  นี่แสดงให้เห็นว่า Google มีระบบที่จำกัดการแสดงผลของเว็บใหม่จริง ๆ เพื่อป้องกันสแปม

4. “เราไม่ได้ใช้ข้อมูลจาก Chrome สำหรับการจัดอันดับ”

Google Spokeperson เคยยืนยันว่าไม่ได้ใช้ข้อมูลจากเบราว์เซอร์ Chrome ในการจัดอันดับ แต่ในเอกสารที่หลุดออกมามีการกล่าวถึงคุณสมบัติ “chromeInTotal” ซึ่งเก็บข้อมูลจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์จาก Chrome นี่แสดงให้เห็นว่า Google อาจนำข้อมูลจาก Chrome มาใช้ในการประเมินความนิยมของเว็บไซต์จริง

จากข้อมูลเหล่านี้ เราเห็นได้ชัดว่า Google ไม่ได้เปิดเผยความจริงทั้งหมดกับเรา แต่ก็เข้าใจได้ว่าพวกเขาต้องการปกป้องความลับทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่าเราควรเชื่อสิ่งที่ Google บอกมากแค่ไหน และควรทดสอบสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากขึ้น

เจาะลึกระบบการทำงานของ Google Search

Thoughtful caucasian female engineer using digital tablet in computer server room

จากข้อมูลที่หลุดออกมา เราได้เห็นภาพรวมของระบบการทำงานภายในของ Google Search ที่ซับซ้อนมาก ๆ ซึ่งประกอบด้วยระบบย่อยหลายส่วน เราจะมาดูกันว่ามีอะไรบ้างค่ะ

1. ระบบการเก็บข้อมูล

Google ใช้ระบบที่เรียกว่า Spanner ซึ่งเป็นฐานข้อมูลแบบกระจายที่สามารถรองรับการขยายตัวได้ไม่จำกัด ทำให้ Google สามารถจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ระบบการคลอลิ่งและอินเด็กซิ่ง

  • Trawler: ระบบสำหรับการคลอลิ่งเว็บไซต์
  • Alexandria: ระบบหลักในการสร้างดัชนี
  • SegIndexer: ระบบที่แบ่งเอกสารเป็นระดับชั้นต่าง ๆ ในดัชนี
  • TeraGoogle: ระบบสำรองสำหรับจัดเก็บเอกสารระยะยาว

3. ระบบการเรนเดอร์และประมวลผล

  • HtmlrenderWebkitHeadless: ระบบสำหรับเรนเดอร์หน้าเว็บที่ใช้ JavaScript
  • LinkExtractor: ระบบสำหรับดึงข้อมูลลิงก์จากหน้าเว็บ
  • WebMirror: ระบบจัดการเรื่อง canonicalization และ duplication

4. ระบบการจัดอันดับ

  • Mustang: ระบบหลักในการให้คะแนนและจัดอันดับ
  • Ascorer: อัลกอริทึมหลักในการจัดอันดับเบื้องต้น
  • NavBoost: ระบบปรับอันดับตามพฤติกรรมการคลิกของผู้ใช้
  • FreshnessTwiddler: ระบบปรับอันดับตามความใหม่ของเนื้อหา

5. ระบบการแสดงผล

  • Google Web Server (GWS): เซิร์ฟเวอร์หลักที่รับคำขอจากผู้ใช้
  • SuperRoot: ส่วนกลางที่ควบคุมการทำงานของระบบทั้งหมด
  • SnippetBrain: ระบบสร้าง snippet สำหรับผลการค้นหา
  • Glue: ระบบรวมผลการค้นหาจากแหล่งต่าง ๆ

จากภาพรวมนี้ เราเห็นได้ว่า Google Search ไม่ได้เป็นเพียงอัลกอริทึมเดียวที่ทำงานทุกอย่าง แต่เป็นระบบที่ซับซ้อนประกอบด้วยส่วนประกอบหลายอย่างทำงานร่วมกัน ซึ่งแต่ละส่วนก็มีหน้าที่เฉพาะในการประมวลผลและจัดอันดับผลการค้นหา

เราเอาปัจจัยเหล่านี้ไปเป็นหลักการทำ SEO ยังไงได้บ้างจากรายงานฉบับนี้

จากข้อมูลที่หลุดออกมา เราได้เห็นปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ ซึ่งแคร์ดิจิตัลขอมาสรุปสิ่งสำคัญที่ได้จากรายงานที่หลุดออกมานี้

business man reading and signing a business contract, business agreement consensus signing, business

1. Backlink ยังคงมีความสำคัญมาก

แม้จะมีข่าวลือว่า Google ให้ความสำคัญกับลิงก์น้อยลง แต่ข้อมูลที่หลุดออกมาแสดงให้เห็นว่า Google ยังคงวิเคราะห์ลิงก์อย่างละเอียด โดยมีการเก็บข้อมูลต่าง ๆ เช่น:

  • sourceType: คุณภาพของหน้าเว็บต้นทางที่ลิงก์มา
  • homepagePagerankNs: Page Rank ของหน้าแรกของเว็บไซต์
  • homePageInfo: ระดับความน่าเชื่อถือของหน้าแรก

นอกจากนี้ Google ยังมีระบบตรวจจับการสร้างลิงก์แบบสแปม และมีการเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของลิงก์ย้อนหลังแบบไม่เกิน 20 ครั้งด้วย

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Google ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพและความเกี่ยวข้องของลิงก์มากกว่าปริมาณ ดังนั้นกลยุทธ์การสร้างลิงก์ของเราควรมุ่งเน้นไปที่การได้ลิงก์จากแหล่งที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา

2. ขนาดตัวอักษรมีผล

Google เก็บข้อมูลเกี่ยวกับขนาดตัวอักษรเฉลี่ยของคำสำคัญในเนื้อหาและขนาดตัวอักษรของ anchor text ในลิงก์ นี่อาจหมายความว่าการทำให้คำสำคัญหรือลิงก์มีขนาดใหญ่กว่าปกติอาจช่วยเพิ่มความสำคัญในสายตาของ Google ได้

3. วันที่มีความสำคัญมาก

Google พยายามหาวันที่ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหลายวิธี เช่น:

  • bylineDate: วันที่ที่ระบุชัดเจนในหน้าเว็บ
  • syntacticDate: วันที่ที่สกัดได้จาก URL หรือชื่อเรื่อง
  • semanticDate: วันที่ที่อนุมานได้จากเนื้อหา

เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด เราควรระบุวันที่ให้ชัดเจนและสอดคล้องกันทั้งในโครงสร้างข้อมูล ชื่อเรื่อง และ XML sitemap

4. ข้อมูลการจดทะเบียนโดเมนถูกเก็บไว้

Google เก็บข้อมูลเกี่ยวกับวันที่จดทะเบียนและวันหมดอายุของโดเมน ซึ่งอาจใช้ในการประเมินความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ใหม่หรือโดเมนที่เพิ่งเปลี่ยนเจ้าของ

5. เว็บไซต์ที่เน้นวิดีโอได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง

หากมากกว่า 50% ของหน้าเว็บในเว็บไซต์มีวิดีโอ Google จะถือว่าเป็นเว็บไซต์ที่เน้นวิดีโอและอาจจัดอันดับแตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไป

6. YMYL (Your Money Your Life) มีการให้คะแนนเฉพาะ

Google มีระบบการให้คะแนนเฉพาะสำหรับเนื้อหาประเภท YMYL โดยเฉพาะในหมวดสุขภาพและข่าว นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าคำค้นหาใหม่ ๆ จะเข้าข่าย YMYL หรือไม่ด้วย

แล้วเอาปัจจัยพวกนี้ไปใช้ทำ SEO ต่ออย่างไรดี

Wooden puzzle with action plan success icon. the concept of success

จากข้อมูลทั้งหมดที่เราได้เรียนรู้ มาดูกันว่าเราควรปรับกลยุทธ์ SEO อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานของ Google

เน้นคุณภาพเนื้อหาและโปรโมตให้หนัก

แม้จะดูเป็นคำแนะนำที่ฟังดูเชยมาก แต่การสร้าง Content ที่ดีและโปรโมท/โฆษณาให้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด เพราะจะส่งผลดีต่อหลายปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ

ให้ความสำคัญกับการสร้างลิงก์คุณภาพ (Backlink)

แทนที่จะเน้นปริมาณ ให้มุ่งเน้นการได้ลิงก์จากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา

ใส่ใจเรื่องการจัด Layout และดีไซน์ UI/UX

ใช้ขนาดตัวอักษรที่ใหญ่ขึ้นสำหรับคำสำคัญและลิงก์ที่สำคัญ แต่ต้องระวังไม่ให้ดูเป็นการดีไซน์เพื่อ SEO จนเกินงาม

จัดการเรื่องวันที่อย่างสม่ำเสมอ

ระบุวันที่ให้ชัดเจนและสอดคล้องกันในทุกที่ ทั้งในเนื้อหา โครงสร้างข้อมูล และ XML sitemap (Query Post Date เอาเลย ง่ายสุดค่ะ)

สร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือ

เนื่องจาก Google มีการวัดค่าความน่าเชื่อถือของโดเมน การสร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญในระยะยาว ไม่ใช่แค่ในทาง SEO

ปรับกลยุทธ์ตามประเภทเว็บไซต์และให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเนื้อหา YMYL

หากเว็บไซต์ของคุณอยู่ในหมวด YMYL ให้เน้นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง น่าเชื่อถือ และมีแหล่งอ้างอิงที่ดี

ทดสอบและเรียนรู้อยู่เสมอ

เนื่องจากอัลกอริทึมของ Google มีความซับซ้อนมาก การทดสอบและวิเคราะห์ผลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ อย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยินมา แต่ให้ทดลองด้วยตัวเองเพื่อดูว่าอะไรได้ผลจริงสำหรับเว็บไซต์ของคุณ

SEO ทำให้คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์

Scientists are verifying that the products that come into the factory are effective

เราย้ำอยู่เสมอว่า “อย่าเชื่อคนที่บอกว่า รู้ทุกอย่างของการทำ SEO”

เหตุผลก็เพราะว่า Google ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดที่แท้จริง จนกระทั่งมีเอกสารหลุดมาในวันนี้ ซึ่งต้องบอกว่า เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นเองค่ะ

การทำ SEO ให้เทพจึงเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ มันคือการลองผิดลองถูก ตั้งสมมติฐาน และพลาดหลายทฤษฏี จนออกมาเป็นประสบการณ์ค่ะ และไม่ใช่การแข่งขันในทุกคีย์เวิร์ดจะใช้วิธีขึ้นหน้าแรกแบบเดียวกัน

สิ่งสำคัญคือการยึดมั่นในหลักการพื้นฐานของการทำ SEO ที่ดี นั่นคือ การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ การสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี และการสร้างลิงก์ที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้ใช้

สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าแม้ Google จะมีระบบที่ซับซ้อน แต่เป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาคือการมอบผลการค้นหาที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ ดังนั้น หากเรามุ่งเน้นที่การสร้างคุณค่าให้กับผู้ใช้เป็นหลัก เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จในการทำ SEO ได้อย่างยั่งยืนค่ะ

ฝากกดแชร์ไปให้คนรู้จักได้อ่านด้วยนะคะ

แชร์คอนเทนต์ให้ทุกคนได้อ่าน

โพสต์อื่นที่น่าสนใจ