เป็นข่าวใหญ่โตพอสมควรเลยค่ะ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดเหตุการณ์อินเทอร์เน็ตแทบแตกในวงการ SEO นั่นคือการเจอเอกสารภายในของ Google ที่เผยให้เห็นถึงรายละเอียดของระบบการจัดอันดับและการทำงานของอัลกอริทึมต่าง ๆ ซึ่งปกติแล้ว Google พยายามปกปิดเป็นความลับมาโดยตลอด (ก็ธุรกิจเขานี่เนอะ)
ข้อมูลที่หลุดออกมานี้ได้เปิดเผยความจริงหลายอย่างที่ Google เคยปฏิเสธมาตลอด และยังทำให้เราได้เห็นภาพรวมของระบบการทำงานภายในของ Google Search อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจที่ต้องการทำการตลาดอย่าง SEO ที่พยายามทำความเข้าใจและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการทำงานของ Google มาโดยตลอด
วันนี้เราจะมาวิเคราะห์และสรุปประเด็นสำคัญจากข้อมูลที่หลุดออกมา พร้อมทั้งให้คำแนะนำว่าเราควรปรับกลยุทธ์ SEO อย่างไรจากข้อมูลใหม่เหล่านี้ เตรียมตัวให้พร้อมนะคะ เพราะสิ่งที่กำลังจะได้รู้อาจทำให้คุณต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ Google และ SEO ไปเลยก็ได้! ส่วนคนที่เซียนอยู่แล้วก็น่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ เพราะบางส่วนไม่ผิดจากที่คาดเท่าไหร่
เราเชื่ออะไร Google ได้บ้าง? เทียบคำต่อคำสิ่งที่ Google เคยบอกเกี่ยวกับ SEO
ก่อนอื่น เรามาดูกันว่า Google เคยบอกอะไรกับเราบ้างที่ขัดแย้งกับข้อมูลที่หลุดออกมา
1. “เราไม่มีสิ่งที่เรียกว่า Domain Authority”
Gary Illyes จาก Google เคยยืนยันหลายครั้งว่า Google ไม่ได้ใช้ค่าอำนาจโดเมน (Domain Authority) ในการจัดอันดับ แต่ความจริงแล้ว ในเอกสารที่หลุดออกมาระบุว่า Google มีการคำนวณค่า “siteAuthority” สำหรับแต่ละเว็บไซต์
นี่แสดงให้เห็นว่า Google มีการวัดค่าความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์โดยรวมจริง ๆ แม้จะไม่ได้เรียกว่า Domain Authority ก็ตาม
2. “เราไม่ได้ใช้ Click สำหรับการจัดอันดับ”
Google พยายามปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้ใช้ข้อมูลการคลิกในการจัดอันดับ แต่ข้อมูลที่หลุดออกมาเผยว่า Google มีระบบที่เรียกว่า NavBoost ซึ่งใช้ข้อมูลการคลิกและพฤติกรรมของผู้ใช้ในการปรับอันดับผลการค้นหา
ระบบนี้เก็บข้อมูลต่าง ๆ เช่น จำนวนคลิกที่ดี คลิกที่ไม่ดี คลิกที่เข้ามาแล้วอยู่นานที่สุด และอื่น ๆ เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณคะแนน ซึ่งขัดแย้งกับที่ Google เคยบอกไว้โดยสิ้นเชิง
3. “ไม่มี Sandbox สำหรับเว็บไซต์ใหม่”
John Mueller จาก Google เคยปฏิเสธว่าไม่มีระบบ Sandbox ที่จำกัดการจัดอันดับของเว็บไซต์ใหม่ แต่ในเอกสารที่หลุดออกมามีการกล่าวถึงคุณสมบัติ “hostAge” ที่ใช้เพื่อ “sandbox fresh spam in serving time” นี่แสดงให้เห็นว่า Google มีระบบที่จำกัดการแสดงผลของเว็บใหม่จริง ๆ เพื่อป้องกันสแปม
4. “เราไม่ได้ใช้ข้อมูลจาก Chrome สำหรับการจัดอันดับ”
Google Spokeperson เคยยืนยันว่าไม่ได้ใช้ข้อมูลจากเบราว์เซอร์ Chrome ในการจัดอันดับ แต่ในเอกสารที่หลุดออกมามีการกล่าวถึงคุณสมบัติ “chromeInTotal” ซึ่งเก็บข้อมูลจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์จาก Chrome นี่แสดงให้เห็นว่า Google อาจนำข้อมูลจาก Chrome มาใช้ในการประเมินความนิยมของเว็บไซต์จริง
จากข้อมูลเหล่านี้ เราเห็นได้ชัดว่า Google ไม่ได้เปิดเผยความจริงทั้งหมดกับเรา แต่ก็เข้าใจได้ว่าพวกเขาต้องการปกป้องความลับทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่าเราควรเชื่อสิ่งที่ Google บอกมากแค่ไหน และควรทดสอบสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากขึ้น
เจาะลึกระบบการทำงานของ Google Search
จากข้อมูลที่หลุดออกมา เราได้เห็นภาพรวมของระบบการทำงานภายในของ Google Search ที่ซับซ้อนมาก ๆ ซึ่งประกอบด้วยระบบย่อยหลายส่วน เราจะมาดูกันว่ามีอะไรบ้างค่ะ
1. ระบบการเก็บข้อมูล
Google ใช้ระบบที่เรียกว่า Spanner ซึ่งเป็นฐานข้อมูลแบบกระจายที่สามารถรองรับการขยายตัวได้ไม่จำกัด ทำให้ Google สามารถจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ระบบการคลอลิ่งและอินเด็กซิ่ง
- Trawler: ระบบสำหรับการคลอลิ่งเว็บไซต์
- Alexandria: ระบบหลักในการสร้างดัชนี
- SegIndexer: ระบบที่แบ่งเอกสารเป็นระดับชั้นต่าง ๆ ในดัชนี
- TeraGoogle: ระบบสำรองสำหรับจัดเก็บเอกสารระยะยาว
3. ระบบการเรนเดอร์และประมวลผล
- HtmlrenderWebkitHeadless: ระบบสำหรับเรนเดอร์หน้าเว็บที่ใช้ JavaScript
- LinkExtractor: ระบบสำหรับดึงข้อมูลลิงก์จากหน้าเว็บ
- WebMirror: ระบบจัดการเรื่อง canonicalization และ duplication
4. ระบบการจัดอันดับ
- Mustang: ระบบหลักในการให้คะแนนและจัดอันดับ
- Ascorer: อัลกอริทึมหลักในการจัดอันดับเบื้องต้น
- NavBoost: ระบบปรับอันดับตามพฤติกรรมการคลิกของผู้ใช้
- FreshnessTwiddler: ระบบปรับอันดับตามความใหม่ของเนื้อหา
5. ระบบการแสดงผล
- Google Web Server (GWS): เซิร์ฟเวอร์หลักที่รับคำขอจากผู้ใช้
- SuperRoot: ส่วนกลางที่ควบคุมการทำงานของระบบทั้งหมด
- SnippetBrain: ระบบสร้าง snippet สำหรับผลการค้นหา
- Glue: ระบบรวมผลการค้นหาจากแหล่งต่าง ๆ
จากภาพรวมนี้ เราเห็นได้ว่า Google Search ไม่ได้เป็นเพียงอัลกอริทึมเดียวที่ทำงานทุกอย่าง แต่เป็นระบบที่ซับซ้อนประกอบด้วยส่วนประกอบหลายอย่างทำงานร่วมกัน ซึ่งแต่ละส่วนก็มีหน้าที่เฉพาะในการประมวลผลและจัดอันดับผลการค้นหา
เราเอาปัจจัยเหล่านี้ไปเป็นหลักการทำ SEO ยังไงได้บ้างจากรายงานฉบับนี้
จากข้อมูลที่หลุดออกมา เราได้เห็นปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ ซึ่งแคร์ดิจิตัลขอมาสรุปสิ่งสำคัญที่ได้จากรายงานที่หลุดออกมานี้
1. Backlink ยังคงมีความสำคัญมาก
แม้จะมีข่าวลือว่า Google ให้ความสำคัญกับลิงก์น้อยลง แต่ข้อมูลที่หลุดออกมาแสดงให้เห็นว่า Google ยังคงวิเคราะห์ลิงก์อย่างละเอียด โดยมีการเก็บข้อมูลต่าง ๆ เช่น:
- sourceType: คุณภาพของหน้าเว็บต้นทางที่ลิงก์มา
- homepagePagerankNs: Page Rank ของหน้าแรกของเว็บไซต์
- homePageInfo: ระดับความน่าเชื่อถือของหน้าแรก
นอกจากนี้ Google ยังมีระบบตรวจจับการสร้างลิงก์แบบสแปม และมีการเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของลิงก์ย้อนหลังแบบไม่เกิน 20 ครั้งด้วย
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Google ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพและความเกี่ยวข้องของลิงก์มากกว่าปริมาณ ดังนั้นกลยุทธ์การสร้างลิงก์ของเราควรมุ่งเน้นไปที่การได้ลิงก์จากแหล่งที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา
2. ขนาดตัวอักษรมีผล
Google เก็บข้อมูลเกี่ยวกับขนาดตัวอักษรเฉลี่ยของคำสำคัญในเนื้อหาและขนาดตัวอักษรของ anchor text ในลิงก์ นี่อาจหมายความว่าการทำให้คำสำคัญหรือลิงก์มีขนาดใหญ่กว่าปกติอาจช่วยเพิ่มความสำคัญในสายตาของ Google ได้
3. วันที่มีความสำคัญมาก
Google พยายามหาวันที่ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหลายวิธี เช่น:
- bylineDate: วันที่ที่ระบุชัดเจนในหน้าเว็บ
- syntacticDate: วันที่ที่สกัดได้จาก URL หรือชื่อเรื่อง
- semanticDate: วันที่ที่อนุมานได้จากเนื้อหา
เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด เราควรระบุวันที่ให้ชัดเจนและสอดคล้องกันทั้งในโครงสร้างข้อมูล ชื่อเรื่อง และ XML sitemap
4. ข้อมูลการจดทะเบียนโดเมนถูกเก็บไว้
Google เก็บข้อมูลเกี่ยวกับวันที่จดทะเบียนและวันหมดอายุของโดเมน ซึ่งอาจใช้ในการประเมินความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ใหม่หรือโดเมนที่เพิ่งเปลี่ยนเจ้าของ
5. เว็บไซต์ที่เน้นวิดีโอได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง
หากมากกว่า 50% ของหน้าเว็บในเว็บไซต์มีวิดีโอ Google จะถือว่าเป็นเว็บไซต์ที่เน้นวิดีโอและอาจจัดอันดับแตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไป
6. YMYL (Your Money Your Life) มีการให้คะแนนเฉพาะ
Google มีระบบการให้คะแนนเฉพาะสำหรับเนื้อหาประเภท YMYL โดยเฉพาะในหมวดสุขภาพและข่าว นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าคำค้นหาใหม่ ๆ จะเข้าข่าย YMYL หรือไม่ด้วย
แล้วเอาปัจจัยพวกนี้ไปใช้ทำ SEO ต่ออย่างไรดี
จากข้อมูลทั้งหมดที่เราได้เรียนรู้ มาดูกันว่าเราควรปรับกลยุทธ์ SEO อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานของ Google
เน้นคุณภาพเนื้อหาและโปรโมตให้หนัก
แม้จะดูเป็นคำแนะนำที่ฟังดูเชยมาก แต่การสร้าง Content ที่ดีและโปรโมท/โฆษณาให้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด เพราะจะส่งผลดีต่อหลายปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ
ให้ความสำคัญกับการสร้างลิงก์คุณภาพ (Backlink)
แทนที่จะเน้นปริมาณ ให้มุ่งเน้นการได้ลิงก์จากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา
ใส่ใจเรื่องการจัด Layout และดีไซน์ UI/UX
ใช้ขนาดตัวอักษรที่ใหญ่ขึ้นสำหรับคำสำคัญและลิงก์ที่สำคัญ แต่ต้องระวังไม่ให้ดูเป็นการดีไซน์เพื่อ SEO จนเกินงาม
จัดการเรื่องวันที่อย่างสม่ำเสมอ
ระบุวันที่ให้ชัดเจนและสอดคล้องกันในทุกที่ ทั้งในเนื้อหา โครงสร้างข้อมูล และ XML sitemap (Query Post Date เอาเลย ง่ายสุดค่ะ)
สร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือ
เนื่องจาก Google มีการวัดค่าความน่าเชื่อถือของโดเมน การสร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญในระยะยาว ไม่ใช่แค่ในทาง SEO
ปรับกลยุทธ์ตามประเภทเว็บไซต์และให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเนื้อหา YMYL
หากเว็บไซต์ของคุณอยู่ในหมวด YMYL ให้เน้นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง น่าเชื่อถือ และมีแหล่งอ้างอิงที่ดี
ทดสอบและเรียนรู้อยู่เสมอ
เนื่องจากอัลกอริทึมของ Google มีความซับซ้อนมาก การทดสอบและวิเคราะห์ผลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ อย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยินมา แต่ให้ทดลองด้วยตัวเองเพื่อดูว่าอะไรได้ผลจริงสำหรับเว็บไซต์ของคุณ
SEO ทำให้คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์
เราย้ำอยู่เสมอว่า “อย่าเชื่อคนที่บอกว่า รู้ทุกอย่างของการทำ SEO”
เหตุผลก็เพราะว่า Google ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดที่แท้จริง จนกระทั่งมีเอกสารหลุดมาในวันนี้ ซึ่งต้องบอกว่า เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นเองค่ะ
การทำ SEO ให้เทพจึงเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ มันคือการลองผิดลองถูก ตั้งสมมติฐาน และพลาดหลายทฤษฏี จนออกมาเป็นประสบการณ์ค่ะ และไม่ใช่การแข่งขันในทุกคีย์เวิร์ดจะใช้วิธีขึ้นหน้าแรกแบบเดียวกัน
สิ่งสำคัญคือการยึดมั่นในหลักการพื้นฐานของการทำ SEO ที่ดี นั่นคือ การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ การสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี และการสร้างลิงก์ที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้ใช้
สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าแม้ Google จะมีระบบที่ซับซ้อน แต่เป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาคือการมอบผลการค้นหาที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ ดังนั้น หากเรามุ่งเน้นที่การสร้างคุณค่าให้กับผู้ใช้เป็นหลัก เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จในการทำ SEO ได้อย่างยั่งยืนค่ะ
ฝากกดแชร์ไปให้คนรู้จักได้อ่านด้วยนะคะ